
มวยโคราช
มวยโคราชเป็นมวยท้องถิ่นของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นเมืองมวย ในสายของครูบัว วัดอิ่ม เริ่มเรียนมวยไทยโคราชจากครูมวยพื้นบ้านชื่อผู้เฒ่าทน ครูรุ่ง และครูนิลที่หมู่บ้านดอนขวาง ซึ่งเป็นครูมวยฝีมือดี มีไหวพริบ และกลยุทธ์ทั้งในการต่อสู้และการสอนศิษย์ ลูกศิษย์ของท่านอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากคือ นายแดง รุ่งนิล (ภายหลังใช้นามสกุล เป็น ไทยประเสริฐ) ผู้เป็นหลานชายของพระเหมสมาหาร เจ้าเมืองโคราชในสมัยนั้น ต่อมานายแดงได้เข้ารับราชการและได้ชกถวายตัวหน้าพระที่นั่งต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นชะงัดเชิงชก
เรื่องราวของหมื่นชะงัดเชิงชก สร้างแรงบันดาลใจให้ครูบัว ซึ่งขณะนั้นชื่อเดิมชื่อเหียบ ตั้งใจจะฝึกฝนมวย และได้ขึ้นเปรียบมวยชกกับนักมวยท้องถิ่นหลายบ้าน เช่น บ้านหัวทะเล บ้านโนนฝรั่ง บ้านใหม่ บ้านหัวครูช้าง บ้านตะคอง ฯลฯ โดยไม่แพ้ใครเลย ต่อมาครูบัวได้รับราชการทหารที่กองพันทหารม้า นครราขสีมา และมีโอกาสได้ฝึกฝนการขี่ม้าผาดโผนจนชำนาญ ครั้นพอครบเกณฑ์ปลดประจำการแล้ว ก็เดินทางเข้าหาโอกาสแสวงหาชื่อเสียงทางมวยที่กรุงเทพ โดยขอพักอยู่กับพี่เขย คือ คุณพระสุนทรเทวภักดี ถนนข้าวสารซ้อมมวยอยู่ที่บ้านท่าน
ครูบัวได้แสดงฝีมือในการชกมวยอยู่หลายครั้ง ปราบนักมวยหัวเมืองได้หลายคนจนหาคู่ต่อสู้ด้วยยากจนได้รับเชิญให้ครูไปสอนมวยไทยให้แก่คณะดาวทอง ของป๋าหวาด เสตะปุระ ต่อมาจึงมาตั้งคณะของตนขึ้นที่ซอยโซดา ถนนสุโขทัย มีลูกศิษย์หลายคนที่ชกชนะ ชื่อเสียงโด่งดัง และจะมีคำว่า”โซดา” พ่วงท้ายชี่อ เช่น ทองอยู่ ชูโซดา ซัน กลั่นโซดา เป็นต้น จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ครูบัวได้รับการบรรจุให้เป็นครูพลศึกษา โรงเรียนนายร้อย จปร.ในสมัยนั้น ครูจึงได้ถูกส่งให้ไปฝึกวิชาอาวุธโบราณ จากครูเปลี่ยน บ้านเจริญพาสน์ วิชายูโด จาก อ.ฮิดาก้า ที่สีลมวิชามวยปล้ำจาก อ.เจือ จักษุรักษ์ และ ครูบัว ยังมีความสนิทสนมกับปรมาจารย์กิมเส็ง ทวีสิทธิ์ มวยทวีสิทธิ์ และปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย มวยไชยา ทำให้ครูบัวมีโลกทัศน์ที่กว้าง และไม่เคยดูหมิ่นหรือแคลนวิชาของใครเลย แต่เมื่อเวลาท่านฝึกสอนมวยไทย ท่านก็จำแนกไว้โดยชัดเจนว่าท่าใดมาจากวิชาใด และหากท่านสอนมวยโคราช ท่านก็สอนมวยโคราชดั้งเดิม เป็นหลัก หลังจากท่านชกมวยจนหาคู่เปรียบไม่ได้แล้ว ท่านจึงแขวนนวมเมื่ออายุ ๔๐ ปี และทำหน้าที่ครูพลศึกษาให้แก่ นนร. จปร. จนเกษียณในปี พ.ศ. ๒๕๐๑
เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ การจดมวยพื้นฐาน
ท่ามือในการจดมวยโคราชนั้น เริ่มตั้งแต่ใช้มือหน้าเสมอจมูก มือหลังวางคาง แล้วเหยียดแขนสองข้างออกข้างหน้า ระดับสูงต่ำของมือปรับเปลี่ยนได้ตามระยะของการเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ ถ้าเข้าใกล้ยกมือขึ้นสูงได้ ระยะไกลลดมือลงต่ำคุมกลางตัว สันหมัดตั้งหรือเกือบตั้งฉาก ทั้งสองหมัด ลักษณะคล้ายกับตัว ก. ไก่ จึงเรียกขานท่านี้ว่า ท่าตัว ก. ซึ่งถือเป็นท่าครู ท่าปฐมส่วนขาสองข้างยืนแยกหน้าหลัง เท้าที่อยู่ข้างหน้ายืนเหยียบเต็มฝ่าเท้า ขาข้างที่อยู่ข้างหน้า ยืดเกือบตึง คือไม่มีมุมงอของเข่าให้เห็น แต่ที่จริงไม่ถึงกับตึงจนสะบ้าเคลื่อน ตรงพอสะบ้าลงหลุม จับได้ไม่คลอน น้ำหนักลงเต็มเท้าหน้า เท้าหลังจึงพร้อมสะบัดออกเป็นอาวุธ เตะ ถีบหรือเข่าได้ทันที เข่าหน้าไม่งอย่อลงให้ใครปีนเหยียบได้ และไม่นิยมปีนป่ายเหยียบชายพก หากจะใช้อาวุธก็จะโยนมวลทั้งตัวขึ้นจากพื้นในท่ารัดกุม
การจดมวยโคราช เหมือนตัว ก. ไก่เป็นพยัญชนะตัวแรกของอักษรไทย (ลักษณะดังภาพประกอบ) มีคำกล่าวในหมู่ชาวมวยว่า มวยอีสานเขย่งตีนยืน เพราะดินมันร้อน ต้องผ่อนตีนสลับ ขยับย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง หรือคำเปรียบเปรยแต่ก็สะท้อนอัตลักษณ์นี้ได้ชัดเจน จึงทำให้มวยโคราชในเกือบทุกสาย ถนัดการออกอาวุธเตะสลับซ้าย ขวาได้คล่องแคล่ว
อีกหนึ่งในลักษณะเฉพาะของมวยโคราชสายครูบัว วัดอิ่ม (ร.ท.บัว นิลอาชา) ก็คือการใช้แกนตัวส่งกำลังในแนวตั้งมากกว่าการกระดกหรือเอนตัวในแนวนอน เนื่องจากครูเคยรับราชการทหาร (ในปี พ.ศ.๒๔๕๘-๒๔๖๐) และสอนมวยที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๓-๒๕๐๑) และเล็งเห็นว่า ในการออกปฏิบัติการในสนามรบ หากต้องรบพร้อมกับเครื่องหลังติดกายย่อมไม่สะดวกในการโยกตัว หรือก้มเงย แต่การหมุนแกนร่างกายในแนวตั้ง และการยืดย่อ การออกอาวุธ ชกเตะจะคล่องตัวกว่า การชกจะออกหมัดในแนวตั้ง การเตะจะเป็นการเตะห้ามไหล่ พับเป็นศอกข้างเดียวกับเท้าที่เตะเป็นการเตะสวนลงข้างชายโครง แต่ไม่สับปลายมือทิ้งลงข้างตัว ส่วนลักษณะที่พ้องกับมวยในบางสายก็คือการออกอาวุธพันลำ คือสลับอาวุธไม่ซ้ำลูก และการรับพร้อมรุกในจังหวะเดียวคล้ายกับมวยไชยา
การใช้อวัยวุธ
๑. หมัดตั้ง สำหรับการชกตรง ใช้หมัดหงานยเฉพาะกการต่อยขึ้น และใช้สันหมัดเหวี่ยงในวงกว้าง
๒. ศอกวงแคบสั้น มักใช้ตีโดยให้ท่อนแขนยังบังใบหน้า บางคราวใช้ประกอบกับเข่า
๓. เข่าเน้นการเข่าตรง
๔. การเตะในมุมพิเศษอยู่ระหว่างมุมตรง และมุมเฉียง คล้ายเตะลิดแต่มีเคล็ดวิชาในการใช้ทั้งมุมและจังหวะ แต่ไม่ใช่มุมคว่ำแข้ง เหมือนมวยใต้
ลักษณะที่ไม่พบในมวยโคราชสายดั้งเดิม
๑. ไม่นิยมการยกศอกต่อเข่าแบบยกบัง หรือย่างสามขุมในมวยไชยา หรือย่างสูงในมวยทวีสิทธิ์ แต่ตอบแก้ด้วยการกระตุกเข่าหรือใช้กลเท้าอื่น
๒. ไม่นิยมการปีนขาเหยียบหน้าตัก และไม่ยืนย่อขาให้ใครขึ้นปีนเหยียบ
๓. ท่าเตะแบบคว่ำแข้งที่บางคณะเรียกกันว่าเตะคอขาด ไม่ใช่ท่าเตะของมวยโคราช แต่ท่านั้นลักษณะใกล้เคียงกับมวยใต้ในชื่อ อุปราชขาดคอช้าง)
๔. หมัดเหวี่ยงของโคราช มีชื่อดั้งเดิมว่า “หมัดเหวี่ยง” ส่วนชื่อ”หมัดเหวี่ยงควาย”เป็นชื่อที่มวยสายอื่นใช้เรียก ตาม ๆ กันมา แต่ในสายโคราชเองเรียกเพียงแต่หมัดเหวี่ยง และหมัดนี้ไม่นิยมใช้เป็นไม้รุก แต่นิยมใช้เป็นไม้ตอบแก้
๕. การกระโดดชก ไม่ใช่ไม้หลักของมวยโคราช แต่เป็นไม้เกร็ดที่แตกมาจากการฝึกไม้หนึ่งของโคราช ซึ่งใช้เฉพาะการทำต่อเนื่องจากการเตะ
ทักษะพื้นฐานและไม้มวย
นอกจากลักษณะการจดมวยแล้ว ยังมีพื้นฐานของการออกอาวุธ อยู่กับที่ ๕ ท่าเคลื่อนที่ อีก ๕ ท่า และท่าฝึกการป้องกันตอบแก้ อีก ๑๑ ท่า เมื่อฝึกพื้นฐาน
จนคล่องแล้ว จึงให้ขึ้นไม้ครูพื้นฐานอีก ๕ ไม้ คือ ชักหมัดมา เตะตีนหน้าพร้อมหมัดชัก / ชักปิดปกด้วยศอก / ชกห้ามไหล่ / เมื่อเข้าให้ชกนอกเมื่อออกให้ชกใน / ชกช้างประสานงาจนเมื่อเข้าใจและปฏิบัติได้จนชำนาญแล้ว จึงขึ้นลูกไม้อีก ๒๑ ไม้ คือ ทัศมาลา/ กาฉีกรัง/ หนุมานถวายแหวน/ ล้มพลอยอาย/ ลิงชิงลูกไม้ /กุมกัณฑ์หักหอก /ฤๅษีมุดสระ/ ทศกัณฑ์โศก /ตะเพียนแฝงตอ / นกคุ้มเข้ารัง /คชสารกวาดหญ้า / หักหลักเพ็ชร / คชสารแทงโรง / หนุมานแหวกฟอง / ลิงพลิ้ว / กาลอดบ่วง/หนุมานแบกพระ/ หนูไต่ราว/ ตลบนก /หนุมานถอนตอ / โกหก (คำเดิมท่านเรียกไม้ตอแหล)
“ที่มาของข้อมูล นายสมศักดิ์ วิวัฒน์ไพศาล”






